เห็ดส่วนใหญ่ที่นำมาบริโภค ได้แก่ เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดหูหนู เห็ดเป๋าฮื้อ และเห็ดอีกหลายชนิด มีคุณค่าทางอาหารประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุและวิตามินชนิดต่างๆ แตกต่างกันออกไป และอาจกล่าวได้ว่าเห็ดสามารถนำมาใช้เป็นอาหารที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ จึงเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ หรือผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพ เนื่องจากเห็ดไม่มีสารคลอเรสเตอรอล ที่เป็นอันตรายต่อระบบไหลเวียนของโลหิต และพบว่ามีปริมาณโซเดียมต่ำ จึงจัดเป็นอาหารที่เหมาะแก่ผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพ ได้แก่ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ ไต หัวใจ และความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตามการจำแนกประเภทของเห็ด สามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มได้แก่
- กลุ่มที่ใช้เป็นอาหาร เห็ดมีคุณค่าทางอาหารหลายชนิดโดยเฉพาะโปรตีนและวิตะมิน ได้แก่ เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น
- กลุ่มที่ใช้เป็นยาสมุนไพร เห็ดนอกจากเป็นอาหารแล้วยังมีคุณค่าในเรื่องของสรรพคุณทางยา ได้แก่ เห็ดหลินจือ เห็ดหอม
- กลุ่มเห็ดที่มีพิษ เห็ดในกลุ่มนี้หลายชนิดมีพิษรุนแรง หากบริโภคเข้าไปอาจทำให้เสียชีวิต ได้แก่ เห็ดระโงกหิน (ภาคกลาง) เห็ดระงาก (ภาคอีสาน) เห็ดเหล่านี้แม้จะต้มให้สุกเป็นเวลานาน แต่ยังคงความเป็นพิษเพราะความร้อนไม่สามารถสลายสารพิษที่อยู่ในเห็ดกลุ่มนี้
เนื่องจากภูมิอากาศของประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อนชื้น ทำให้พบเห็ดหลากหลายชนิด ซึ่งรวมทั้งเห็ดที่มีพิษอีกหลายชนิดด้วย ปัญหาที่สำคัญเมื่อพบผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษ ส่วนใหญ่แล้วแพทย์หรือแม้แต่ผู้ป่วยไม่รู้จักเห็ดชนิดนั้น อย่างไรก็ตาม ในเห็ดพิษชนิดเดียวกันอาจมีสารพิษอยู่หลายชนิดต่างๆ กัน ตามพื้นที่ที่เห็ดขึ้น รวมทั้งการพิสูจน์ว่าเป็นเห็ดชนิดใด อาจต้องใช้เวลามากจนให้การรักษาไม่ทันการ การวินิจฉัยและการรักษาภาวะพิษจึงขึ้นอยู่กับลักษณะทางคลินิก โดยเฉพาะอาการแสดงเบื้องต้นและระยะเวลาที่เริ่มแสดงอาการเป็นสำคัญ โดยทั่วไปแล้วเห็ดพิษและเห็ดรับประทานได้อาจมีรูปทรงคล้ายคลึงกัน จึงมีคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เก็บเห็ดที่มีพิษมากินจนทำให้เสียชีวิตไปแล้วหลายราย สำหรับเห็ดพิษในประเทศไทย สมาคมนักวิจัยและเพาะเห็ดแห่งประเทศไทย ได้จำแนกเห็ดพิษที่สำรวจพบโดยจัดทำหนังสือเห็ดพิษ แยกตามกลุ่มสารพิษได้เป็น 7 กลุ่มดังนี้
- กลุ่มที่สร้างสารพิษ Cyclopeptides เป็นสารพิษที่ทำลายเซลล์ของตับ ไต ระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด ระบบหายใจและระบบสมอง ทำให้ถึงแก่ชีวิตภายใน 4-10 ชั่วโมง นับได้ว่าเป็นสารพิษในเห็ดที่ร้ายแรงที่สุด เห็ดพิษที่อยู่ในกลุ่มนี้ที่พบในประเทศไทยของเราได้แก่ เห็ดระโงกหิน เห็ดไข่ตายซาก
- กลุ่มที่สร้างสารพิษ Monomethylhydrazin สารพิษนี้ทำให้ถึงแก่ความตายหากรับประทานเห็ดดิบและน้ำต้มเห็ด โดยทำลายระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาทและทำลายเซลล์ตับ ในประเทศไทยมีรายงานว่าพบอยู่หนึ่งชนิด คือ เห็ดสมองวัว
- กลุ่มที่สร้างสารพิษ Coprine สารพิษในกลุ่มนี้มีผลต่อระบบประสาทต่อเมื่อรับประทานกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เห็ดในกลุ่มนี้ได้แก่ เห็ดหิ่งห้อย เห็ดน้ำหมึกหรือเห็ดถั่วที่ขึ้นตามธรรมชาติ แต่เห็ดถั่วหรือเห็ดโคนน้อยที่เพาะเป็นการค้าในปัจจุบันมาจากสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกว่าปลอดสารพิษ Coprine
- กลุ่มที่สร้างสารพิษ Muscarine สารพิษในกลุ่มนี้มีผลต่อระบบประสาท ทำให้ผู้รับประทานเกิดอาการเพ้อคลั่ง เคลิบเคลิ้มและหมดสติอยู่เป็นเวลานาน ไม่มีผลทางสมอง คนป่วยอาจไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่มีอาการโคม่า ยกเว้นมีโรคอื่นแทรกซ้อน ได้แก่ เห็ดเกล็ดดาว (Amanita pantherina)
- กลุ่มที่สร้างสารพิษ Ibotenic acid และ Muscimol สารพิษในกลุ่มนี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่ง เห็ดที่สร้างสารพิษชนิดนี้ ได้แก่ เห็ดบางพันธุ์ในตระกูล Amanita (เห็ดระโงกหิน) รวมทั้ง A. muscaria ชนบางเผ่ารวมทั้งชาวอเมริกันในบางรัฐ นิยมเสพเห็ดเหล่านี้เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน สารพิษในกลุ่มนี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่ง
- กลุ่มที่สร้างสารพิษ Psilocybin และ Psilocin เห็ดพิษที่มีสารกลุ่มนี้ หากรับประทานเข้าไปจะทำให้มีอาการประสาทหลอน มึนเมา อาจถึงขั้นวิกลจริต กล่าวว่าช่วงแรกมีอาการเห็นทุกอย่างเป็นสีเขียวหมด ต่อมาอาการถึงจะเป็นปกติ และอาจถึงตายได้ถ้ารับประทานเป็นจำนวนมาก สารพิษมีฤทธิ์เหมือนกัญชาจึงเป็นที่ต้องการของตลาด ในประเทศไทยจึงมีการแอบซื้อขายกันอย่างลับๆ ตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง จัดว่าเป็นเห็ดที่เป็นยาเสพติด เห็ดในกลุ่มนี้มีหลายชนิดได้แก่ เห็ดขี้ควาย เห็ดขอนเกล็ดสีแดง
- กลุ่มที่สร้างสารพิษ Gastrointestinal สารพิษชนิดนี้ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วง อาจถึงแก่เสียชีวิตได้หากรับประทานในจำนวนมาก เมื่อรับประทานแบบดิบจะเป็นพิษ แต่สามารถรับประทานได้ถ้าต้มสุกแล้ว เพราะความร้อนทำลายพิษให้หมดไป นอกจากนี้เห็ดชนิดเดียวกันบางคนที่รับประทานเข้าไปอาจแสดงอาการจากการได้รับพิษ หรือบางคนก็ไม่แสดงอาการอะไรเลยก็ได้เช่นกัน เห็ดในกลุ่มนี้มีหลายชนิดได้แก่ เห็ดหัวกรวดครีบเขียว เห็ดกรวยเกล็ดทอง เห็ดแดงน้ำหมากเห็ดไข่เน่า และเห็ดไข่หงส์ เป็นต้น
การรักษาผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษ ที่สำคัญที่สุดคือ แพทย์จะทำการรักษาประคับประคองให้ผู้ป่วยพ้นขีดอันตราย โดยการลดปริมาณสารพิษที่ผู้ป่วยได้รับ และเร่งขับสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้นถ้าผู้ป่วยยังไม่อาเจียนควรกระตุ้นให้อาเจียน หรือใช้สายยางสวนล้างกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ทำให้อาเจียนไม่ได้ ให้ผู้ป่วยทุกรายรับประทานผงถ่าน และถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการท้องร่วงควรให้ยาระบายด้วย หลังจากที่สภาพของผู้ป่วยมีเสถียรภาพแล้ว แพทย์ผู้รักษาจะสัมภาษณ์ประวัติ และดำเนินการเพื่อให้ได้การวินิจฉัยถึงชนิดของสารชีวพิษจากเห็ดที่ผู้ป่วยได้รับ เพื่อให้การรักษาที่จำเพาะต่อไป
เอกสารอ้างอิง
- Lincoff.G.H. and P.M. Michell 1977. Toxic and Hallucinogenic Mushroom Poisoning, a Hhandbook for physicians and Mushroom Hunter. Van Nostrand & Reinhlod Co., New York.
- สมาคมนักวิจัยและเพาะเห็ดแห่งประเทศไทย. เห็ดพิษ กรุงเทพฯ 2543. บริษัทนิวธรรมดาการพิมพ์ (ประเทศไทย) จำกัด